จักสานเครือซูด (เถาวัลย์แดง)
กลุ่มจักสานเถาวัลย์แดง(เครือซูด) บ้านหนองใหญ่ หมู่ที่ ๘
เป็นกลุ่มอาชีพที่จัดตั้งขึ้นเมื่อ ปีพ.ศ.๒๕๖๑ โดยมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในหมู่ชาวบ้านหนองใหญ่ มีสมาชิกแรกตั้งจำนวน ๗ คน โดยมีนางสาคร ทองสุข ประธานกลุ่มซึ่งเป็นปราชญ์ชาวบ้านที่ริเริ่มการจักสานเถาวัลย์แดง (เครือซูด) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำเป็นตะกร้าเพื่อเป็นเครื่องใช้ในครัวเรือน ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๖๒ องค์การบริหารส่วนตำบลยางขี้นกและมหาวิทยาลัยราชภัฏเลย ได้ทำความร่วมมือในการส่งเสริมและพัฒนาต่อยอดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้กับกลุ่มอาชีพ ซึ่งกลุ่มจักสานเถาวัลย์แดง (เครือซูด) บ้านหนองใหญ่ หมู่ที่ ๘ ได้เข้าร่วมรับการอบรมและพัฒนาศักยภาพของกลุ่มและพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นการสานลวดลายอัตลักษณ์ลงบนชิ้นงานและจดลิขสิทธิ์ลายอัตลักษณ์เรียบร้อย ซึ่งลายอัตลักษณ์ได้แก่ ลายใบบัวหนองใหญ่ ลายกังหัน ลายนกกระยาง เป็นต้น และกลุ่มได้เข้าร่วมจดทะเบียนเป็นเครือข่ายกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเพื่อการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรทางชีวภาพท้องถิ่น ตำบลยางขี้นก ในปี พ.ศ.๒๕๖๔ และได้รับอนุญาตการจดทะเบียนจากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุบลราชธานี ในการรับรองกลุ่มกลุ่มจักสานเถาวัลย์ (เครือซูด) ในปี พ.ศ.๒๕๖๕ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้รับมาตรฐานสินค้าโอท้อป ระดับสามดาว ในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ และนางสาคร ทองสุข ได้เป็นครูภูมิปัญญา ที่ทำหน้าที่สอนงานภูมิปัญญากลุ่มจักสานเถาวัลย์แดง(เครือซูด) ให้กับเด็กนักเรียนโรงเรียนประถมศึกษา และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในเขตพื้นที่ตำบลยางขี้นก ซึ่งเป็นการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรภูมิปัญญาท้องถิ่น นอกจากนั้นยังได้รับเชิญจากสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอเขื่องใน และสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี ไปเป็นวิทยากรเพื่อฝึกสอนกลุ่มอาชีพให้กับเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีคณะเข้ามาศึกษาดูงานโดยตลอด และจัดแสดงสินค้าในงานมหกรรมสินค้าพื้นเมือง ณ โรงแรมเวิด์เทรดเซ็นเตอร์ กรุงเทพมหานคร การแสดงสินค้าโอท้อป อิมแพคอารีน่าเมืองทองธานี และนางสาคร ทองสุข ประธานกลุ่มได้รับโอกาสในการเป็นผู้ถวายงานนิทรรศการ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๒ ในปัจจุบัน กลุ่มจักสานเถาวัลย์แดง(เครือซูด) บ้านหนองใหญ่ หมู่ที่ ๘ มีสมาชิกทั้งหมด ๓๐ คน ที่มีการพัฒนาสมาชิกกลุ่มในการส่งต่อความเป็นครูภูมิปัญญา จำนวนทั้งสิ้น ๕ คน
